นิ่วในกระเพาะปัสสาวะเกิดได้ 2 รูปแบบคือ เป็นนิ่วจากไตหรือท่อไตที่หลุดลงมาสะสมเพิ่มขนาดในกระเพาะปัสสาวะ และเป็นนิ่วที่เกิดในกระเพาะปัสสาวะเองซึ่งในกรณีนี้มักเกิดจากการขับถ่ายปัสสาวะออกไม่หมดด้วยสาเหตุบางประการ เช่น มีภาวะต่อมลูกหมากโตกีดขวางทางเดินปัสสาวะ ท่อปัสสาวะตีบตัน รวมถึงการที่กระเพาะปัสสาวะทำ
งานผิดปกติจนบีบตัวได้ไม่ดี ทำให้มีน้ำปัสสาวะคั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะ นานวันเข้าก็จะเกิดการตกตะกอนแล้วค่อยๆ โตขึ้นเป็นก้อนนิ่ว โดยนิ่วเกิดขึ้นที่อวัยวะใดก็จะมีชื่อเรียกตามตามอวัยวะนั้น เช่น นิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในต่อมน้ำลาย และ
นิ่วทางเดินปัสสาวะ ซึ่งประกอบไปด้วยนิ่วในไต นิ่วในท่อไต นิ่วในท่อปัสสาวะ และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคนิ่วนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุดังนี้
สาเหตุของการเกิดนิ่ว
1.กรรมพันธุ์ >> โรคหลายชนิดที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และมีผลต่อการเกิด
นิ่วทางเดินปัสสาวะ 2.อายุ >> พบมากในกลุ่มวัยทำงาน อายุ 40 – 60 ปี
3.เพศ >> พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2-3 เท่า
4.อาหาร >> ชนิดและปริมาณอาหารมีผลต่อการขับสารบางชนิดออกมาในปัสสาวะที่มีทั้งสารก่อให้เกิดนิ่งและสารยับยั้งการเกิดนิ่ว นิ่วเกิดได้อย่างไร !! นิ่วเกิดจาก “สารก่อนิ่ว” ที่มีอยู่ในปัสสาวะของเรา ได้แก่ แคลเซียม ฟอสเฟต ยูเรต ออกซาเลต ในภาวะที่มีปริมาณผิดปกติและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยสาร เหล่านี้จะรวมตัวกัน กระทั้งกลายเป็นก้อนผลึกแข็ง เมื่อสะสมนานวันเข้าก็มีขนาดใหญ่ขึ้น และกลายเป็นก้อนนิ่ว ที่เข้าไปอุดตันที่บริเวณต่างๆ ของระบบทางเดินปัสสาวะ สารที่ป้องกันการก่อให้เกิดผลึกในปัสสาวะเรียกว่า “สารยับยั้งนิ่ว” ที่สำคัญได้แก่ ซิเทรต โพแทสเซียม และแมกนีเซียม
5.ปริมาณน้ำที่ดื่ม>> เป็นปัจจัยสำคัญของการเกิดนิ่วทางปัสสาวะ ถ้าดื่มน้ำน้อยกว่า 2 ลิตร/วัน โอกาสการนิ่วจะสูงขึ้น
6.ยาที่รับประทานบางชนิด
7.ภาวะติดเชื่อในระบบทางเดินปัสสาวะ
8.ความผิดปกติทางกายวิภาคของระบบทางเดินปัสสาวะ
เมื่อเราได้ทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคนิ่ว ไม่ว่าจะเป็น นิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในต่อมน้ำลาย และ
นิ่วทางเดินปัสสาวะ หรือเป็นนิ่วในที่อื่น ๆ เราก็สามารถหาแนวทางการป้องกันการเกิดโรคนิ่วได้ง่ายขึ้น โดยเริ่มจากการดื่มน้ำมากกว่าวันละ 8 แก้ว หรือให้ได้ปริมาตรของปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน เพื่อลดความอิ่มตัวของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ และลดการก่อผลึกนิ่วที่อาจเกิดขึ้นได้ในระบบทางเดินปัสสาวะ , รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วนและสัดส่วนเหมาะสม โดยเฉพาะอาหารจำพวกผักและผลไม้ แหละที่สำคัญต้องลดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ อาหารหวานและเค็มมาก อาหารที่มีกรดยูริกสูง ด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองค่ะ
