หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: 1 ใน 11 ผู้บริโภคชาวไทยคาดถูกขโมยตัวตนบนโลกไซเบอร์  (อ่าน 12 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 27 เม.ย. 21, 14:22 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 

ผลสำรวจจาก FICO เผย 1 ใน 11 ผู้บริโภคชาวไทยคาดถูกขโมยตัวตนบนโลกไซเบอร์ ขณะที่ 1 ใน 12 ยอมรับเคยเผชิญเหตุการณ์ดังกล่าว
ผลสำรวจจาก FICO เปิดเผยว่า ประชาชนยอมรับมาตรการป้องกันความปลอดภัยมากขึ้น หลังจากที่การเปิดบัญชีออนไลน์มีจำนวนเพิ่มขึ้น
ผลการสำรวจด้านการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลและธนาคารดิจิทัลเปิดเผยว่า ปัญหาการขโมยตัวตนบนโลกไซเบอร์เป็นภัยคุกคามที่เด่นชัดของชาวไทย โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 8.5% ระบุว่า พวกเขารู้ว่าถูกขโมยตัวตนบนโลกไซเบอร์และถูกนักต้มตุ๋นเอาไปใช้เปิดบัญชี ขณะผู้ตอบแบบสอบถาม 9% เชื่อว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้ว
การรับรู้ระดับความเสี่ยงของการถูกขโมยตัวตนบนไซเบอร์จะช่วยให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจว่า เพราะเหตุใดการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญของประสบการณ์การทำธุรกรรมในประเทศไทย
รับชมข้อมูลเพิ่มเติมที่: https://www.fico.com/en/latest-thinking/ebook/thailand-consumer-survey-2021-identity-proofing-and-digital-banking
เข้าใจถึงความจำเป็นในการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล
ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 2 ใน 3 (69%) เข้าใจดีว่า กระบวนการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลมีขึ้นเพื่อปกป้องข้อมูลของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคชาวไทยบางคนมองเหตุผลในการยืนยันตัวตนในแง่ลบ ขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมาก (64%) รับทราบว่า มีหลายองค์ประกอบของข้อบังคับต่างๆ ที่ผลักดันให้ผู้ให้บริการต้องเพิ่มการตรวจสอบมากขึ้น ขณะที่ 27% มองว่าการตรวจสอบดังกล่าวเป็นการเปิดทางให้สถาบันการเงินสามารถขายผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น
ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยส่วนใหญ่ (62%) มองว่าการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลเป็นหนึ่งในหนทางที่ธนาคารใช้ปกป้องข้อมูลของธนาคารเอง ขณะที่อีก 44% มองว่ากระบวนการดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการป้องกันการฟอกเงิน
ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ยินยอมมอบข้อมูลทางชีวภาพให้กับธนาคาร อาทิ การสแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือเสียงพูด เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับบัญชี โดยผลสำรวจเปิดเผยว่า เมื่อผู้บริโภคเข้าใจถึงความสำคัญของกระบวนการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลแล้ว 41% ยินดีที่จะมอบข้อมูลทางชีวภาพ ขณะที่มีเพียง 7% ที่ระบุว่าธนาคารไม่ควรเก็บข้อมูลดังกล่าว ส่วน 8% ยินยอมมอบข้อมูลให้แต่ไม่รู้สึกสะดวกใจมากนัก
"ในประเทศภูมิภาคเอเชียหลายประเทศ การสแกนลายนิ้วมือ บัตรประชาชน และแอปพลิเคชันยืนยันตัวตน ถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาแล้วระยะหนึ่ง" Subhashish Bose หัวหน้าฝ่ายการตรวจสอบการฉ้อโกง ความมั่นคง และการปฎิบัติตามข้อกำหนดประจำเอเชียแปซิฟิก กล่าว "ผู้คนไม่ค่อยตระหนักถึงเรื่องความเป็นส่วนตัว และผลสำรวจระบุว่า ประชาชนยอมรับประโยชน์จากการใช้ข้อมูลทางชีวภาพในการปกป้องบัญชีธนาคารและป้องกันการฟอกเงิน"
ชาวเอเชียครึ่งต่อครึ่งนิยมเปิดบัญชีธนาคารบนสมาร์ทโฟนและธนาคารสาขา
ในประเทศไทย ผู้บริโภค 44% นิยมเปิดบัญชีธนาคารผ่านระบบดิจิทัล และอีก 44% นิยมเปิดบัญชีธนาคารที่สาขา อย่างไรก็ตาม ตลอดปีที่ผ่านมาซึ่งเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ชาวไทยกว่า 66% มีแนวโน้มที่จะเปิดบัญชีธนาคารผ่านระบบดิจิทัลมากกว่าปี 2562 ขณะผู้ที่นิยมทำธุรกรรมที่ธนาคารสาขา เลือกทำธุรกรรมที่สาขาด้วยเหตุผลทางสังคมและทางเทคนิค
"ประเทศไทยมีการเปิดบัญชีธนาคารผ่านระบบดิจิทัลมาแล้วระยะหนึ่ง แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังมีประชาชนบางกลุ่มในตลาดที่ยังไม่ทราบว่ามีระบบดังกล่าว หรือไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัย" Bose กล่าว "ซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่ว่า การเข้าไปเปิดบัญชีในธนาคารสาขาจะได้รับข้อมูลมากกว่า รวมถึงมีความปลอดภัยมากกว่า"
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแนวคิดของผู้คนได้เปลี่ยนไป และมีหลายคนที่ได้รับรู้ถึงประโยชน์ของธนาคารดิจิทัล ฉะนั้น ธนาคารที่ใช้กลยุทธ์แบบหลายทางและสามารถสร้างความมั่นใจในการใช้งานช่องทางใหม่ๆ ได้ จึงมีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น
อย่าบังคับใจลูกค้าให้ทำเรื่องยาก
ชาวไทยที่เปิดใช้งานบัญชีดิจิทัลนิยมทำธุรกรรมทั้งหมดบนช่องทางที่พวกเขาเลือก ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือเว็บไซต์ หากธนาคารขอให้ลูกค้าเปลี่ยนช่องทางในการยืนยันตัวตน ลูกค้าหลายคนจะตัดสินใจเลิกใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าว หรืออาจยกเลิกการเปิดบัญชีธนาคารทั้งหมด (4-5%) หรืออาจย้ายไปใช้บริการธนาคารคู่แข่ง (7-9%) สำหรับลูกค้าที่ยังไม่ยกเลิกการใช้งานในทันที ผู้ตอบแบบสอบถาม 21% ระบุว่า พวกเขาจะชะลอการตัดสินใจทำธุรกรรมออกไป
ผลการสำรวจพบว่า การกระทำใดๆ ที่ทำให้การทำธุรกรรมต้องหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นการขอให้ลูกค้าสแกนหรือส่งอีเมลเอกสาร หรือการใช้แพลตฟอร์มการยืนยันตัวตนแยกกัน จะทำให้ลูกค้าเลิกใช้งานแอปพลิเคชันเช่นเดียวกันการขอให้พวกเขาเข้าทำธุรกรรมที่สาขาหรือส่งเอกสารทางไปรษณีย์
ผลการสำรวจนี้จัดทำขึ้นในเดือนม.ค. 2564 โดยบริษัทวิจัยอิสระที่ยึดตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการวิจัย เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนไทย 1,000 คน รวมถึงผู้บริโภค 13,000 คน ในสหรัฐ, อังกฤษ, แคนาดา, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, บราซิล, โคลอมเบีย และเม็กซิโก
FICO (NYSE: FICO) จะหารือเกี่ยวกับผลการสำรวจดังกล่าวในอีเวนท์การสัมมนาออนไลน์ที่เข้าร่วมชมได้ฟรีกับกิจกรรม Success Realized: Digital Transformation Delivered (APAC) ระหว่างวันที่ 27-29 เม.ย. 2564
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/1495829/FICO_Consumer_Survey_Thailand.jpg
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/450763/FICO_Logo.jpg

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

Tags:
Tags:  

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม