สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวโครงการ “ฟันเทียม รากฟันเทียม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567” โดยมี นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ศาสตราจารย์พิเศษ ทันตแพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ผู้อำนวยการหน่วยทันตกรรมพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ในปี 2566 ซึ่งปัญหาเรื่องหนึ่งของผู้สูงอายุ คือ ปัญหาสุขภาพฟันและสุขภาพช่องปาก ผู้สูงอายุที่เสียฟันทั้งปากจะเคี้ยวอาหารได้ไม่ดี กินได้เฉพาะอาหารอ่อน และการใส่ฟันเทียมจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการใส่ฟันเทียมแบบครอบเหงือกทั้งปาก ได้มีการพัฒนาเป็นสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของทั้ง 3 สิทธิ มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ผู้ที่ใส่ฟันเทียมแบบครอบเหงือกมานาน จะมีปัญหาฟันเทียมหลวม และต้องเพิ่มการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม เพื่อเป็นที่ยึดเกาะของชุดฟันเทียม แต่เนื่องจากรากฟันเทียมที่มีคุณภาพดีต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาแพง อัตราค่าบริการรากเทียมจากยุโรป ค่าบริการรากละ 55,000 - 100,000 บาท และรากเทียมในเอเชีย ค่าบริการรากละ 25,000 – 40,000 บาท กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดทำโครงการ “ฟันเทียม รากฟันเทียม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสืบสานโครงการจากพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการแก้ปัญหาให้ผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปากได้รับฟันเทียม และรากฟันเทียม เพื่อการกินอาหารดีขึ้น ส่งผลให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี โดยโครงการนี้มีเป้าหมายใส่ฟันเทียมจำนวน 72,000 คน และฝังรากฟันเทียมจำนวน 7,200 คน ในระยะเวลา 2 คือ ปี 2566-2567
นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ขับเคลื่อนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ พร้อมจัดระบบบริการสุขภาพที่ครอบคลุม เพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะการบริการด้านสุขภาพช่องปาก กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาระบบการดูแลเรื่องการสูญเสียฟันทั้งปากจนไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ ซึ่งขณะนี้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังมีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปาก 270,000 ราย อยู่ในสิทธิประโยชน์ทุกสิทธิ ทั้งสิทธิบัตรทอง กรมบัญชีกลาง และประกันสังคม ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อรับบริการได้ที่โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลศูนย์ทุกแห่ง ของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนการฝังรากฟันเทียมรองรับฟันเทียมทั้งปาก เป็นเทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง เพื่อเพิ่มคุณภาพการใช้งานฟันเทียมทั้งปากให้แน่นขึ้น โดยมีความจำเป็นประมาณร้อยละ 10 ของผู้ใส่ฟันเทียมทั้งปาก ขณะนี้มีโรงพยาบาลที่มีความพร้อม มีทันตแพทย์ที่สามารถให้บริการได้ในโรงพยาบาล ประมาณ 180 แห่งทั่วประเทศ
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สุขภาพช่องปากเป็นปัญหาที่ยังคงพบได้สูงในคนไทยทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะวัยทำงานตอนปลายและผู้สูงอายุ หากโรคในช่องปากไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เด็ก และมีการสะสมโรค จะทำให้ปัญหามีความรุนแรงซับซ้อนขึ้น จนนำไปสู่การสูญเสียฟัน ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพระดับประเทศทุก 5 ปี ของกรมอนามัย พบว่า ผู้สูงอายุ 60 - 74 ปี มีฟันแท้เฉลี่ย 18 ซี่ต่อคน และเมื่ออายุ 80-85 ปี ลดลงเหลือเพียง 10 ซี่ต่อคน และมีผู้สูงอายุที่สูญเสียทั้งปาก ร้อยละ 8.7 โดยบางส่วนได้รับการใส่ฟันเทียมไปแล้ว การสูญเสียฟันทั้งปาก ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สุขภาพร่างกาย และคุณภาพชีวิตชัดเจน กรมอนามัยจึงได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ เห็นความสำคัญของการมีสุขภาพช่องปากที่ดี มีการใช้เทคโนโลยี Digital เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ควบคู่กับการสื่อสารผ่านเครือข่ายแกนนำชุมชน เพื่อนำไปสู่การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี สามารถดูแล เฝ้าระวังอนามัยช่องปากตนเอง และเข้ารับบริการเมื่อจำเป็น เพื่อเก็บรักษาฟันให้ใช้งานได้ตลอดชีวิต
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะ การสูญเสียฟันทั้งปากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สุขภาพร่างกาย ตลอดจนด้านจิตใจผู้สูงอายุ จึงมีความจำเป็นต้องใส่ฟันเทียมทั้งปาก โดยเฉพาะในขากรรไกรล่าง ถึงแม้จะมีการทำฟันเทียมอย่างดีแล้ว แต่ในผู้ใส่ฟันเทียมบางรายที่มีสันเหงือกเตี้ย หรือใส่ฟันเทียมมานาน กระดูกขากรรไกรอาจละลาย ทำให้ฟันเทียมหลวมไม่กระชับ เคี้ยวอาหารไม่ได้ เคี้ยวแล้วเจ็บ หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีการควบคุมของกล้ามเนื้อบริเวณช่องปากได้ไม่ดี จะผลให้การยึดอยู่ของฟันเทียมไม่ดีเช่นกัน ดังนั้น การนำเทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูงมาใช้แก้ไขในกรณีนี้คือ การฝังรากฟันเทียม 2 รากในขากรรไกรล่าง เพื่อรองรับฟันเทียมชิ้นล่าง ซึ่งในประเทศไทย ได้มีการผลิตนวัตกรรมรากฟันเทียมขึ้นมา ในโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550-2557 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานฟันเทียมทั้งปากชิ้นล่าง ด้วยการฝังรากเทียม 2 รากในผู้สูงอายุ 18,400 ราย ทั้งนี้ กรมการแพทย์ โดยสถาบันทันตกรรมเป็นหน่วยประสาน การดำเนินงานรวมถึงพัฒนาศักยภาพทันตบุคลากร ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายบริการจำนวน 301 แห่งทั่วประเทศ และมีการดูแลผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องมาถึงในปัจจุบัน