สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (IEP) เปิดเผยรายงานภัยคุกคามทางระบบนิเวศ (Ecological Threat Report หรือ ETR) ประจำปี ครอบคลุมงานวิจัยฉบับพิเศษจากโพลความเสี่ยงโลก (World Risk Poll) ซึ่งจัดทำโดยมูลนิธิลอยด์ส รีจิสเตอร์ (Lloyd's Register Foundation)
การค้นพบที่สำคัญ
ภัยคุกคามทางระบบนิเวศ เช่น การเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงด้านแหล่งน้ำ และความไม่มั่นคงด้านอาหารจะรุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่และความขัดแย้ง
56% ของ 228 ประเทศและเขตแดนภายใต้การประเมินในรายงานภัยคุกคามทางระบบนิเวศ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามเชิงนิเวศวิทยาที่รุนแรง
40 ประเทศที่สงบสุขน้อยที่สุดในโลกจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น 1.3 พันล้านคนภายในปี 2593 คิดเป็น 49% ของประชากรโลก
จากประมาณการถึงปี 2593 แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ในแถบแอฟริกาใต้สะฮาราส่วนใหญ่จะไม่ยั่งยืน และการเติบโตของประชากรจะอยู่ที่ 95% ขณะที่ผู้คนจำนวนกว่า 738 ล้านคนในปัจจุบันประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร และทุกประเทศยกเว้นเพียงประเทศเดียวต้องเผชิญกับความวิกฤติขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
ในปี 2564 เกือบ 92% ของผู้ประสบปัญหาขาดสารอาหารทั่วโลกอาศัยอยู่ในประเทศที่มีสันติภาพต่ำถึงต่ำมาก
ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกลดลง 1.5% พลเมืองของสามในสี่ของประเทศที่สร้างมลพิษมากที่สุดในโลก ได้แก่ จีน อินเดีย และรัสเซีย มีความกังวลในระดับต่ำ
มลพิษทางอากาศทำให้โลกเสียหายถึง 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 6.1% ของจีดีพีโลก คร่าชีวิตผู้คนราว 6-9 ล้านคน
ในแต่ละปี รายงานฉบับนี้จะวิเคราะห์ภัยคุกคามทางระบบนิเวศเพื่อประเมินว่าประเทศใดมีความเสี่ยงมากที่สุดจากวิกฤติความขัดแย้ง ความไม่สงบ และการพลัดถิ่นที่เกิดจากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ รายงานตอกย้ำให้เห็นว่า ระดับความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศในปัจจุบันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นหากไม่รวมพลังกัน ทำให้ความขัดแย้งที่มีอยู่บานปลาย และกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ และเป็นแรงบังคับให้เกิดการย้ายถิ่นมากขึ้น
รายงานวิเคราะห์ความเสี่ยงทางระบบนิเวศ ความยืดหยุ่นทางสังคม และความสงบสุขสำหรับประเทศและเขตแดนรวม 228 แห่ง เขตการปกครอง 3,638 แห่งและเมือง 250 แห่ง โดยประเมินความสามารถในการจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ ในปัจจุบันจนถึงปี 2593 นอกจากนี้ยังเน้นให้เห็นถึง "ประเทศโซนสีแดง" จำนวน 27 แห่ง(1) ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ราว 768 ล้านคน และกำลังเผชิญกับภัยคุกคามทางระบบนิเวศที่เลวร้ายที่สุด และมีความยืดหยุ่นทางสังคมต่ำที่สุด โดยกว่า 23 ประเทศจากทั้งหมด 27 ประเทศ ตั้งอยู่ในพื้นที่แอฟริกาใต้สะฮาราและภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
ปัญหาการขาดแคลนอาหาร
ปัจจุบัน 41 ประเทศกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงด้านอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สาธารณสุข และความปรองดองในสังคม โดยมีประชากรทั้งสิ้น 830 ล้านคนที่ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงนี้ ซึ่งกว่า 89% อาศัยอยู่ในแอฟริกาใต้สะฮารา และอีก 49 ล้านคนในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ความไม่มั่นคงด้านอาหารอย่างรุนแรงบ่งบอกถึงสถานะที่บุคคลปราศจากซึ่งเสบียงอาหารสำหรับการบริโภค ส่งผลให้สุขภาพ โภชนาการ และสวัสดิภาพของพวกเขาอยู่ในภาวะเสี่ยงรุนแรง
จำนวนผู้ขาดสารอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา โดยเพิ่มขึ้นกว่า 35% ในปี 2564 อยู่ที่ราว 750 ล้านคน การขาดสารอาหาร ซึ่งเกิดจากการบริโภคอาหารตามปกติแต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สุขภาพดีในทางการแพทย์ มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยในปี 2564 เกือบ 92% ของผู้คนที่ขาดสารอาหารทั่วโลกอาศัยอยู่ในประเทศที่มีระดับสันติภาพต่ำถึงต่ำมาก
ปัญหาความขัดแย้งและการขาดแคลนน้ำ
ความไม่มั่นคงด้านอาหารเกี่ยวข้องกับการขาดแคลนน้ำโดยตรง การขาดแคลนน้ำหมายถึงสถานการณ์ที่ "ประชากรมากกว่า 20% ไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดได้" นั่นหมายความว่า หากไม่สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างเพียงพอ ประชากรเหล่านี้ก็ไม่สามารถจัดหาอาหารให้เพียงพอได้ ผู้คนมากกว่า 1.4 พันล้านคนใน 83 ประเทศต่างเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง โดยคาดว่าหลายประเทศในยุโรปจะประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำในปี 2583 ไม่ว่าจะเป็นกรีซ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และโปรตุเกส
ประเทศที่คาดว่าจะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมากขึ้นระหว่างปัจจุบันถึงปี 2593 ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่แอฟริกาใต้สะฮาราและภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ปัจจุบัน ทุกประเทศยกเว้นเพียงประเทศเดียวในแถบแอฟริกาใต้สะฮาราต่างเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
เมืองขนาดใหญ่: มลภาวะและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
โลกในปัจจุบันประกอบด้วยเมืองใหญ่ 33 แห่ง (2) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มเป็น 47 แห่งภายในปี 2593 เมืองขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มจะเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงที่สุดได้แก่กินชาซา ไนโรบี และลากอส เมืองขนาดใหญ่กว่า 60% อยู่ในประเทศที่มีสันติภาพต่ำ เมืองเหล่านี้มีอัตราการเติบโตของประชากรสูงสุด สุขาภิบาลที่แย่ที่สุด ระดับของอาชญากรรมย่อยและกลุ่มอาชญากรที่สูงกว่า และมลพิษทางอากาศที่แพร่ขยายได้ไกล อย่างไรก็ตาม กลับขาดซึ่งความสามารถทางการเงินและการกำกับดูแลในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างเพียงพอ เมืองที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่สุดมีการเติบโตของประชากรสูงสุด ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงและไม่ยั่งยืน
มลพิษทางอากาศได้สร้างความเสียหายให้โลกคิดเป็นมูลค่ากว่า 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หรือ 6.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก และคร่าชีวิตผู้คนราว 6-9 ล้านคน ปัจจุบันมีเมือง 9 แห่งที่มีระดับมลพิษทางอากาศมากกว่า 20 เท่าของระดับสูงสุดที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งรวมถึงลาฮอร์ คาบูล และอัครา
ทั้งนี้ คาดว่า 40 ประเทศที่มีระดับสันติภาพต่ำที่สุดจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น 1.3 พันล้านคน คิดเป็น 49% ของประชากรโลก ประเทศที่เผชิญกับภัยคุกคามทางระบบนิเวศที่เลวร้ายที่สุดจะมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยคาดว่าประชากรในพื้นที่แอฟริกาใต้สะฮาราจะเพิ่มขึ้นถึง 95%
อ่านข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.thaipr.net/finance/3254313