"...เมื่อสิบสองมกราหนึ่งห้าลูกคราคลาด ต้องนิราศจากไปไกลหนักหนา
จำใจจากแม่พ่อคลอน้ำตา นึกขึ้นมาคราใดใจอาวรณ์
ลูกจากไปครานี้มีจิตมั่น จะขยันและทำตามคำพร่ำสอน
ถึงลำบากอย่างไรไม่อุทธรณ์ สู้ทุกตอนตามประสงค์จำนงใจ
ห้าอาทิตย์เข้าเรียนใหม่ไร้ญาติมิตร ทรมานจิตทรมานกายไม่แจ่มใส
ตื่นตีห้าฝึกหนักงานมากมาย ความสบายไม่เคยพบสบอารมณ์
จะไปไหนพ้นชายคาจะต้องวิ่ง ห้ามยืนพิงห้ามนั่งเหม่อเจอขื่นขม
โดนทำโทษล้างส้วมด่าตรอมตรม แสนระทมค่ำเช้าเศร้าอุรา
ออกกำลังอย่างทหารเป็นงานใหม่ วิ่งสิบไมล์ปีนเขาลงหน้าผา
แบกเครื่องหลังข้ามน้ำตามเวลา หากทำช้าเกินกำหนดปลดออกไป
ฝึกอาวุธแถวชิดผิดเสมอ มัวแต่เผลอฟังคำสั่งว่าไฉน
เขาสั่งเร็วเสียงเพี้ยนไม่เข้าใจ เขาสั่งไปเรายืนเฉยเชยเหลือเกิน
ตรวจเครื่องแบบร่างกายในตอนเช้า ดูผมยาวเสื้อผ้าดูท่าเขิน
สุขภาพความสง่าเวลาเดิน มัวแต่เพลินถูกตัดแต้มแถม พี.ที.
รบในป่าใช้อาวุธสุดลำบาก นอนแช่ปลักมุดหนามเมื่อยามหนี
มีข้าศึกคอยติดตามทุกนาที ข้าวไม่มีติดท้องสองสามวัน
เขาช่างสรรความลำบากให้ยากยิ่ง ให้ทำจริงยิงแทงแข็งขยัน
สอนต่อสู้หลบหลีกอย่างฉับพลัน สอนครอบครันเหลี่ยมชายไว้รับมือ
เขาถือว่าจะเป็นนายต้องแข็งแกร่ง ต้องแสดงอานุภาพน่าเชื่อถือ
เสียสละมีความรู้คู่ฝีมือ รักเกียรติชื่อวงศ์วานบ้านเมืองตน
วันอากาศแจ่มใสใจลูกสู้ วันฝนพรูหิมะแฉะแย่สับสน
มันหนาวเหน็บน่าเบื่อเหลือจะทน ทุกข์ระคนใจเศร้าเคล้าน้ำตา
หวังสี่ปีข้างหน้าถ้าโชคช่วย อาจอำนวยให้สำเร็จการศึกษา
คงได้รับยศศักดิ์ปริญญา ดังเจตนาแม่พ่อผู้รอคอยฯ"