ส่วนที่นายสุรพงษ์ ระบุว่า ได้ทำตามมติศาลโลก จึงไม่ส่งตัวแทนฝ่ายไทยไปร่วมคณะกรรมการแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหาร(คณะไอซีซี)ที่ไปตรวจสอบความเสียหายของปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า เป็นการแสดงภูมิปัญญญาและไม่รู้หน้าที่ของผู้ที่จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะจากคำสั่งของมติศาลโลกที่นายสุรพงษ์ อ้างนั้น จากการตรวจสอบไม่มีข้อห้าม ข้อใดใน 4 ข้อที่ระบุห้ามฝ่ายไทยไม่ให้ส่งตัวแทนขึ้นไปร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดย
ข้อ 1. ให้สองฝ่ายถอนกำลังทหารออกพื้นที่กำหนดและไม่ให้กิจกรรมใดของทหารในพื้นที่ดังกล่าว ของทั้ง 2 ฝ่าย,
ข้อ2 ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องไม่ขัดขวางการขึ้นนปราสาทพระวิหาร หรือการส่งเสบียงของให้กับประชาชน,
ข้อ3 ทั้งสองฝ่ายต้องเจรจาภายใต้กรอบอาเซียน โดยเฉพาะพื้นที่ปลอดทหาร และ
ข้อ4 ไม่ให้มีกิจกรรมใดกระตุ้น หรือก่อปัญหา ให้เกิดความรุนแรงเพิ่มเติ่ม ซึ่งมีความชัดเจนว่าทั้ง 4 ข้อไม่ได้มีการห้ามให้ไทยส่งตัวขึ้นไปร่วมสังเกตการณ์ด้วย
“การที่ นายสุรพงษ์ ออกมาพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าเรายินยอมให้ฝ่ายกัมพูชา พาคณะสังเกตการณ์ขึ้นไปสำรวจพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร โดยไม่มีตัวแทนฝ่ายไทยร่วม มิหนำซ้ำเป็นการเปิดทางให้ใช้แผ่นดินไทยเป็นทางผ่านขึ้นไปด้วย โดยไม่มีการยื่นหนังสือประท้วงแต่อย่างใด นอกจากเป็นการทำผิดมติ ครม. ที่ระบุชัดเจนว่า หากคณะกรมการไอซีซี จะขึ้นไปสำรวจ ต้องมีตัวแทนฝ่ายไทยร่วมด้วย เพราะมติครม.รัฐบาลชุดที่แล้ว ได้ล็อคตรงนี้ไว้ เพื่อกันฝ่ายกัมพูชาจะอ้างสิทธิเพื่อนำไปต่อสู้ในศาลโลก ในการนำปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่นายสุรพงษ์กลับเปิดช่อง ละทิ้งการทำหน้าของตัวเอง โดยไม่มีการส่งตัวแทนไทย เข้าไปอ้างสิทธิ ในพื้นที่โดยรอบ ในการประท้วงการใช้แผ่นดินไทยเป็นทางผ่านขึ้นไปปราสาทพระวิหาร แต่กลับอ้างมั่วถึงคำสั่งศาลโลก อยากถามว่าใช้สติปัญญาดีพอแล้วใช่หรือไม่ ในการปกป้องแผ่นดินไทยและผลประโยชน์ของชาติ เขาสู้กันจะเป็นจะตายจนถึงศาลโลก แต่นายสุรพงษ์กลับอ้างคำสั่งศาลโลกมาเป็นตัวทำลายกระบวนการต่อสู้ของฝ่ายไทย” นายชวนนท์ กล่าว