ความจริงวันนี้...ร้านถูกใจจริงหรือ..?

ส่อแววล่ม! พบทุจริต “ร้านถูกใจ” พาณิชย์เตรียมรื้อโครงการใหม่
พาณิชย์เตรียมรื้อโครงการร้านถูกใจโครงการใหม่หลังพบปัญหาเพียบ โดย ครม.สั่งยืดโครงการออกไปถึงสิ้นเดือนธันวาคม สาเหตุจากพบการทุจริต มีร้านค้าในบัญชีไม่ได้ดำเนินการจริง เปิดร้านเพื่อรอรับค่าจ้างเท่านั้น ซ้ำบางแห่งของแพงเกินราคากำหนด กรมการค้าภายในยอมรับไม่มีเงินจ่ายพันธมิตร ทั้งไปรษณีย์ไทย อคส. เหตุโครงการนี้ไม่มีเงินทดรองจ่าย
นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า หลังจากที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้ขยายโครงการร้านค้าถูกใจออกไปจนถึงเดือน ธ.ค. 2555 ขณะนี้คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชนส่วนกลางที่มี น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน อยู่ระหว่างการพิจารณาผู้ประกอบการร้านค้าทั้ง 10,000 แห่งที่ร่วมโครงการว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ที่จะร่วมโครงการต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ประกอบการร้านค้าถูกใจบางส่วนไม่ได้ประกอบธุรกิจจริง เพราะตั้งแต่ร่วมโครงการมามีการสั่งซื้อสินค้าแค่ครั้งเดียวไม่มีการเคลื่อนไหวของธุรกิจ
นอกจากนี้ตรวจสอบพบว่าบางร้านจำหน่ายสินค้าสูงกว่าราคาที่กำหนดไว้ จึงต้องมีการตรวจสอบก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญาครั้งใหม่อย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้น ซึ่งจากการรายงานมาจากพื้นที่พบว่ามีร้านค้าที่ต้องยกเลิกสัญญาประมาณ 3-4% จากทั้งหมด 10,000 ร้านค้า และจะดึงให้ร้านค้าสำรองซึ่งมีกว่า 6,000 ร้านค้าเข้ามาแทน นอกจากนี้ยังได้ลดค่าจ้างรายวันที่เคยจ่ายให้พนักงานขายของในร้านค้าถูกใจร้านละ 300 บาทเป็น 200 บาท หรือจาก 9,000 บาทเป็น 6,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะมีผลในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ โดยใช้งบประมาณที่เหลือจากโครงการที่ได้รับมาทั้งหมด 1,300 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9550000127270
ผ่านครึ่งทางโชวห่วยช่วยชาติ
ผู้ค้าทั่วประเทศรุมสวด ได้ของล่าช้า ทำเสียโอกาสในการขาย บางรายระบุนั่งตบยุงรอเป็นเดือน จี้เร่งแก้ไขด่วน พร้อมอ้อนโรงงานผลิตช่วยลดราคาสินค้าลงอีก หวังกำไรเพิ่ม ส่วนใหญ่สารภาพเข้าร่วมโครงการจากเหตุจูงใจได้ค่าจ้างขายวันละ 300 บาท ด้านพาณิชย์สั่งยกเครื่องระบบสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าใหม่ การันตีได้ของภายใน 7 วัน
จากที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินโครงการ โชวห่วย ช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" โดยได้รับอนุมัติงบดำเนินการ 1,320 ล้านบาท มีเป้าหมายเปิดร้านถูกใจ 10,000 แห่งทั่วประเทศเพื่อใช้เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภคจำเป็นต่อการครองชีพราคาต่ำกว่าท้องตลาด 10-20% ได้เปิดรับสมัครร้านค้า และสหกรณ์ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2555นั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมเปิดงาน "มหกรรมรวมพล ร้านถูกใจ โชวห่วย ช่วยไทย ช่วยชาติ" โดยได้เชิญผู้ประกอบการร้านถูกใจที่ได้รับอนุมัติเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 5,000 รายจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมแสดงศักยภาพ
อย่างไรก็ดีจากการสอบถามผู้ประกอบการถึงปัญหาอุปสรรคของโครงการที่ผ่านมากว่าครึ่งทาง(โครงการสิ้นสุด 30 กันยายน 2555) ระบุมีปัญหาใหญ่ที่เป็นปัญหาหลักคล้ายกันคือการส่งมอบสินค้าของโครงการให้กับร้านค้ายังมีความล่าช้า
นายโชคชัย ณ นคร หนึ่งในเจ้าของ "ร้านถูกใจ" ย่านจรัญสนิทวงศ์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ทางร้านประสบปัญหาได้รับมอบสินค้าตามที่ได้สั่งซื้อค่อนข้างล่าช้ามาก เช่นในล็อตแรกสั่งสินค้าเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ได้รับของเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน และล็อตที่สองสั่งเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ถึงปัจจุบันผ่านมาจะครบ 1 เดือนแล้วยังไม่ได้รับสินค้า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา เพราะความล่าช้าทำให้เสียโอกาสในการขาย
เช่นเดียวกับนายวิชัย (ไม่ขอเปิดเผยนามสกุล) เจ้าของร้านถูกใจ ย่านภาษีเจริญ ที่เผยว่า ทางร้านได้รับของที่สั่งในล็อตแรกเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน หลังจากที่สั่งไปก่อนหน้านี้ร่วมเดือน ล่าสุดสินค้ากำลังจะสั่งในล็อตที่สองเกรงจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีก ขณะที่แหล่งข่าวเจ้าของร้านถูกใจในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวทำนองเดียวกันว่า มีปัญหาได้รับของล่าช้า เพราะการสั่งแต่ละล็อตต้องรอนาน 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือนกว่าจะได้ของ ขณะที่สินค้าที่นำมาจำหน่ายส่วนใหญ่จะหมดภายใน 15 วัน
สำหรับข้อเรียกร้องของเจ้าของร้านถูกใจนั้น จากการสอบถามพบว่า อยากให้กระทรวงพาณิชย์เจรจากับโรงงานผลิตสินค้าให้กับร้านถูกใจช่วยลดราคาสินค้าลงอีก เพราะปัจจุบันในภาพรวมสินค้าที่เข้าร่วมโครงการราคาแตกต่างจากร้านค้าทั่วไปไม่มาก ทำให้มีกำไรค่อนข้างน้อย และอยากให้โรงงานผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายของขนาด และราคาเพื่อสร้างทางเลือกผู้บริโภคมากขึ้น
"ตัวอย่างบะหมี่มาม่าส่งราคาซองละ 4.62 บาท ให้เราขาย 5 บาท กำไร 38 สตางค์ เรามีค่าใช้จ่ายถุงหิ้ว 15 สตางค์ ถ้าถุงใหญ่ก็ 50 สตางค์ ดังนั้นแทบไม่มีกำไรจึงอยากให้โรงงานลดราคาสินค้าลงอีก"
http://www.thanonline.com/?option=com_content&view=article&id=131736:2012-07-17-10-31-58&catid=87:2009-02-08-11-23-26&Itemid=423
.
จนถึงตอนนี้ พานิชย์ ไม่สามารถแจงได้ว่า งบฯ 1,320 ล้านบาทใช้ไปในส่วนใดบ้าง.- และก็ยังไม่มีแถลงสรุปอย่างเป็นทางการ)