อีกหนึ่งความเห็นครับ...คือบางคนคิดว่าเป็นลูกจ้างนั้นลำบากจัง...เงินไม่พอใช้.......แต่บางคนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจมาแล้ว....ก็บ่นว่าเหนื่อยมาก ๆ กว่าจะหาเงินเข้ามาได้...สู้เป็นลูกจ้างไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องปวดหัวเรื่องลูกจ้าง,เงินเดือน,ภาษี ฯลฯ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไร....ขอให้ลองทำธุรกิจเล็ก ๆ ไปก่อน.....จะลุยต่อไปก็ได้....หรือจะถอยก็ได้ไม่เสี่ยงมาก ซึ่งผมเห็นด้วยกับ คุณ hiddendragon007 ที่บอกว่า "เลือกทำธุรกิจจากความชอบ ข้อควรระวังก็คือ สินค้าที่คุณชอบ ลูกค้าก็ต้องชอบด้วย"
และสำหรับคนที่อยากลองทำธุรกิจเล็ก ๆ แต่มีความอาย ผมมีข้อคิดให้พิจารณาดูเผื่อจะตรงกับคนขี้อาย(ขายของ)บ้างครับ.....
ผมว่าอยู่ที่วิธีคิดนะ.....คือให้ลองคิดและจินตการไปเรื่อย ๆ ค่อยเป็นค่อยไป(ถ้าไม่รีบร้อน) ...ไปเดินตลาดนัดหลาย ๆ ที่ ทั้งในร่มและกลางแจ้ง แล้วจะพอเห็นไอเดีย จึงค่อยมาสรุปอีกที 1/จะขายอะไร -- 2/สินค้าที่ขายให้ประโยชน์กับผู้ซื้ออย่างไร -- 3/ เราชอบอะไร -- 4/ลองจำลองภาพตัวเองว่าถ้าเราเป็นคนขายของอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ดูแล้วเป็นอย่างไร
--สถานที่ ถ้าเราไม่ชอบแดดก็ให้เช่าสถานที่ในร่ม(ต้องคำนึงถึงค่าเช่าด้วย)
--สินค้า เลือกกลุ่มลูกค้าเช่น วัยรุ่น,วัยทำงาน,วัยสูงอายุ หรือกลุ่มคนทั่วไป
--สินค้าให้ประโยชน์กับลูกค้าอย่างไร เช่น ความสวยงาม, สุขภาพ,ช่วย
ประหยัดเงิน(สินค้าราคาประหยัด),ให้ความเพลิดเพลิน,
--สภาพสินค้า ไม่เน่าเสียง่าย, เบา,ไม่เกะกะ,ใช้คนน้อย,ลงทุนน้อยกำไร
มาก,ขนส่งสะดวก,ไม่มีหน้าร้านก็ขายของได้, เป็นสินค้าที่ไม่ตกยุคหรือ
ล้าสมัยเร็ว และสำคัญต้องมีประโยชน์ต่อลูกค้า
--ประเภทสินค้าที่พอเห็นเขาขายกันทั่วไป เช่นสินค้าแฟชั่น,สินค้าจำเป็น,
และสินค้าไม่จำเป็น
--ส่วนความชอบนั่นน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ เช่นเราชอบสัตว์ก็น่าจะขายสินค้า
เกี่ยวกับ petshop, ถ้าชอบแต่งตัวก็น่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น, ถ้าเป็นคนชอบ
ออกกำลังกายก็ขายสินค้ากีฬา, ถ้าเป็นคนรู้จักดูแลสุขภาพก็ขายสินค้า
เพื่อสุขภาพ จะเป็นพวกเครือข่ายหรือไม่เครือขายก็เลือกเอาตามความ
เหมาะสม หรือจะขายพวกข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ
--เงินลงทุน ก็พิจารณาตามความสามารถและกำลังทรัพย์ของแต่ละคน
*** เรื่องความอาย...จะเอาตัวอย่างของน้องผมมาเล่าให้ฟ้ง เริ่มเมื่อปี
กว่า ๆ ที่ผ่านมา น้องผมที่เคยทำงานกินเงินเดือน 2- 3 ปีเห็นจะได้ มาบ่นว่าเงินเดือนไม่พอใช้ บ่นหลาย ๆ ครั้งเข้า.....
-ผมก็ถามเขาว่า "เอาสินค้าของเฮียไปขายไหม?"
-เขาบอกว่าไม่เอาหรอก... "อายเขาจะตาย...เหมือนไปขอตังค์เขา"
-ผมก็บอกว่า "วันก่อนแกเมื่อยปวดคอ ปวดหลัง เพราะทำนั่งทำงานมาก
ใช่ไหม??"
-เขาก็ตอบว่า "ใช่...ทำไมเหรอ?"
-ผมถามว่า " แล้วทำไมหายปวดล่ะ?"
-เขาตอบว่า "ก็เฮียช่วยให้ผมหายปวดนะซี"
-ผมถามว่า " แกมีความรู้สึกอย่างไร ที่ความปวดเมื่อยหายไป "
-เขาตอบว่า "ก็ดีใจและก็แอบขอบคุณเฮียในใจอยู่"
-ผมถามว่า " ถ้าเพื่อนแกมีอาการปวดเมื่อยแล้วแกช่วยให้เขาหายได้
เพื่อนแกจะขอซื้อสินค้าที่แกทำให้เขาหายปวดเมื่อยได้ไม๊ ?"
-เขาตอบว่า " ก็น่าจะซื้อซี"
-ผมถามว่า "อย่างนี้จะเรียกว่าเราไปขอตังค์หรือไปช่วยแก้ปัญหาให้
เขา?"
-เขาตอบว่า " ก็แก้ปัญหาให้เขาน่ะซี "
-ผมเลยบอกเขาว่า " นี่แหละเป็นวิธีคิดสำหรับคนขี้อายไม่กล้าขายของ แต่ถ้าเราคิดว่าสินค้าที่เราขายให้ไปนั้นเป็นประโยชน์แก่ลูกค้ามากว่าเงินที่เขาจ่ายไป ลูกค้าน่าจะขอบคุณเรามากกว่า...จริงไหม?"
.............นับแต่วันนั้นเขาก็เอาสินค้าผมติดกระเป๋าไปทำงาน...และก็มีคนที่ทำงานเป็นลูกค้ามากขึ้นทั้งยังซื้อฝากให้พ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลาย ๆ ราย.....เดี๋ยวนี้เขาออกจากงานประจำมาขายของออกร้านตามตลาดนัดเป็นอาชีพแล้วครับ
..........."ขอเป็นกำลังใจให้กับพ่อค้าแม่ค้ารายใหม่ ๆ และขอให้ประสพความสำเร็จครับ....."
harn_lnbmk@hotmail.co.th