จากเด็กหนุ่มผู้ต้องทนเป็นเบอร์สองตลอดการเล่นฟุตบอลในวัยเด็ก เขากลายเป็นหนึ่งในเยาวชนโครงการฟ็อกซ์ ฮันท์ รุ่นบุกเบิกที่ได้ไปฝึกลูกหนังถึงประเทศอังกฤษ ก่อนจะได้รับโอกาสสำคัญไปค้าแข้งกับโอเอช ลูเวิน ทีมในลีกรองของเบลเยียม
หนทางที่ผ่านมาแม้จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และบ่อยครั้งที่ต้องพบเจอความผิดหวัง แต่ในวันนี้เขาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งในบทบาทดาวรุ่งดวงใหม่แห่ง แพท สเตเดียม ที่กลายเป็นมิดฟิลด์คนสำคัญของ “สิงห์เจ้าท่า” อยู่ในขณะนี้ เขาคือใคร และเส้นทางที่ผ่านมาของเขาเป็นอย่างไร โฟร์โฟร์ทู ไทยแลนด์ ของพาคุณไปติดตามเรื่องราวชีวิตของ “โบ๊ต” อนนต์ สมากร ได้ที่นี่ที่เดียว
ตัวสำรองผู้ไม่ยอมแพ้
“ตอนเด็กๆผมมักเป็นตัวสำรองในทีมประจำโอกาสลงตัวจริงไม่ค่อยมีเท่าไหร่” “โบ๊ต” อนนต์ สมากร ย้อนความหลังชีวิตลูกหนังในวัยเด็กกับช่วงเวลาที่ต้องรับบทตัวสำรองของทีมเป็นประจำไม่ว่าจะมีส่วนร่วมกับรายการไหนในฐานะตัวแทนโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ซึ่งเป็นสถาบันลูกหนังที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยทำให้เด็กหนุ่มจากจังหวัดสมุทรสาครต้องเจอการแข่งขันที่สูง และมักตกเป็นตัวสำรองเสมอ
ผมคิดอย่างเดียวว่าเราต้องเอาชนะให้ได้ถ้าคนอื่นดีกว่าเราก็ต้องซ้อมให้หนักกว่าเดิม ถ้ายังไม่ได้อีกผมก็ต้องซ้อมให้หนักขึ้นกว่านี้
“จำได้ว่าตอนนั้นอายุประมาณ 12 ปี ผมเข้าไปเรียนที่โรงเรียนอัสสัมธนบุรีก็ไม่ค่อยได้ลงเล่นหรอกอาจจะเพราะเรายังไม่เก่งมาก” อนนต์ กล่าวต่อกับช่วงเวลาอันยากลำบากสมัยเล่นฟุตบอลขาสั้น “ตอนแรกที่เข้าไปพอมีโอกาสได้ลงบ้าง แต่หลังจากนั้นไม่ค่อยได้เล่นเพราะมีคนใหม่คัดเข้ามาเรื่อยๆผมเลยกลายเป็นตัวสำรองประจำ ผมมีพัฒนาการช้ากว่าคนอื่นแต่พยายามที่จะซ้อมให้มากกว่าคนอื่นเพื่อตามเขาให้ทัน”
อนนต์ มีช่วงเวลาที่ยากลำบากกับการพิสูจน์ตัวเองในทีมโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี และบ่อยครั้งต้องกลายเป็นเพียงตัวเลือกท้ายๆในการแข่งขันแต่ละแมตช์ บ่อยครั้งที่เขาต้องอดทน และทำได้เพียงมองเพื่อนร่วมทีมลงไปไล่หวดลูกหนังอยู่ในสนาม ทว่าตัวเขากลับทำได้เพียงรอคอยด้วยความหวังว่าจะได้ลงสนามแบบคนอื่นๆบ้าง
แม้การรอคอยนั้นจะเป็นความเจ็บปวดจนแม่ของเขาเคยหลั่งน้ำตาเมื่อต้องทนเห็นลูกชายได้แค่นั่งมองเพื่อนร่วมทีมอยู่ข้างสนาม แต่ด้วยใจที่ไม่คิดยอมแพ้ทำให้เขาเลือกที่จะพยายามให้หนักขึ้น เขาอาจไม่ใช่นักเตะที่พรสวรรค์สูง แต่เขามีพรแสวง และความตั้งใจที่จะเอาชนะอุปสรรคเพื่อสิ่งที่เขารักนั่นคือฟุตบอล
“ตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่าเราต้องเอาชนะให้ได้ถ้าคนอื่นดีกว่าเราก็ต้องซ้อมให้หนักกว่าเดิม ถ้ายังไม่ได้อีกผมก็ต้องซ้อมให้หนักขึ้นกว่านี้ ช่วงก่อนไปเรียนผมจะตื่นตี 4 มาวิ่งคนเดียวหลังจากนั้น 6 โมงก็เปลี่ยนชุดไปเรียนเย็นกลับมาก็ซ้อมฟุตบอลต่อทำแบบนี้เป็นประจำมันก็ได้ผลนะอาจจะใช้เวลาหน่อย แต่ร่างกายผมเริ่มตามเพื่อนทันเริ่มจับจังหวะได้พอได้ลงสำรองบางเกมก็ทำได้ดีจนขยับมาได้ลงตัวจริงเรื่อยๆ”
“ผมใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ปีกับการเป็นตัวสำรองกว่าจะได้เล่นเป็นตัวจริงของทีมเหมือนคนอื่น...”
ท้ายที่สุดความพยายามที่ทุ่มเททั้งแรง และใจส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จเมื่อได้รับโอกาสเป็นตัวหลักของทีม และเวลานั้นเองเขาได้เข้าร่วมโครงการฟ็อกซ์ ฮันท์ รุ่นที่ 1 ซึ่งเป็นโครงการของ คิง เพาเวอร์ เพื่อเฟ้นหาแข้งเยาวชนฝีเท้าไปฝึกลูกหนังกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ เป็นเวลาสองปีครึ่งพร้อมทุนเรียนฟรีถึงแดนผู้ดี
การตัดสินใจในครั้งนั้นของ อนนต์ กลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตบนเส้นทางลูกหนังเขาในทันที และก้าวสู่หนทางที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม...
ข้อมูล https://www.fourfourtwo.com/th/features/daawdwngaihmaehng-singhecchaathaa-nnt-smaakr