- มาร์สประกาศพันธกิจใหม่ภายใต้โครงการ #PledgeForPlanet มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงให้มากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของความตกลงปารีส (Paris Agreement) นั่นคือ การสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
- มาร์สเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน รวมถึงผลักดันให้ซัพพลายเออร์รายใหญ่กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
- แกรนท์ เอฟ. รี้ด ซีอีโอของมาร์ส สนับสนุนให้ทุกคน "ลงมือทำเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันตั้งแต่วันนี้ เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิม"
- โครงการ #PledgeForPlanet เปิดตัวพร้อมกับการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (UN Climate Action Summit) ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ และงาน Climate Week NYC โดยมีการจัดแสดงภาพฝาผนังของศิลปินดัง สตีเวน แฮร์ริงตัน ณ สวนสาธารณะไบรอันท์พาร์คในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งนักแสดงและนักร้องสาว วิกตอเรีย จัสติซ ได้มาชมผลงานพร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลงมืออย่างเร่งด่วน
มาร์ส (Mars) ประกาศพันธกิจใหม่เพื่อเร่งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการเปิดตัวโครงการ #PledgeForPlanet โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานโดยตรงให้มากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักของความตกลงปารีส นั่นคือ การสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
พันธกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่มาร์สประกาศครั้งแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นั่นคือ การใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในการดำเนินงานภายในปี 2583 ปัจจุบัน ไฟฟ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งที่บริษัทใช้มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน และบริษัทใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และเร็วๆนี้ในออสเตรเลีย มาร์สเล็งเห็นว่าภาคธุรกิจมีส่วนสำคัญในการสกัดกั้นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทจึงริเริ่มโครงการ #PledgeForPlanet เพราะเห็นว่าเราต้องไปให้ไกลขึ้นและเร็วขึ้นเพื่อสร้างโลกที่แข็งแรงสมบูรณ์ให้เราทุกคนเจริญเติบโตไปด้วยกัน
ภายใต้โครงการนี้ มาร์สไม่เพียงเร่งจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นหุ้นส่วน ซัพพลายเออร์ และผู้คนทั่วโลกให้มาร่วมปฏิญาณตนปกป้องโลกและจัดการกับต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มาร์สเรียกร้องให้ซัพพลายเออร์ทุกรายเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ลงนามเข้าร่วมโครงการ RE100 ของ The Climate Group และมุ่งใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินงานโดยตรงในอนาคต โดยบริษัท Olam ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์จัดหาโกโก้และน้ำมันปาล์มให้กับมาร์ส ได้เข้าร่วมโครงการของมาร์สแล้ว
แกรนท์ เอฟ. รี้ด ซีอีโอของมาร์ส กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามต่อสังคมอย่างแท้จริงและชัดเจน เช่นในธุรกิจของเรา เราเห็นแล้วว่าปัญหานี้อาจส่งผลต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อยที่จัดหาวัตถุดิบส่วนใหญ่ให้กับเรา"
"ความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานและอนาคตของเกษตรกรที่ทำงานให้เราคือสิ่งที่เราใส่ใจที่สุด แต่ในฐานะธุรกิจครอบครัวที่คิดเผื่อคนรุ่นหลังและมุ่งมั่นสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลก ความรับผิดชอบและความปรารถนาของเราจึงไม่ใช่แค่การบรรเทาความเสี่ยงเท่านั้น แต่เราตั้งใจทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อโลกใบนี้"
โครงการใหม่ล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มาร์สได้ทุ่มเงินลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในการดำเนินกลยุทธ์ Sustainable in a Generation Plan เพื่อเร่งให้เกิดความก้าวหน้าในการรับมือกับภัยคุกคามของโลก ไม่จำกัดแค่การดำเนินงานโดยตรงของบริษัทเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด โดยหนึ่งในเป้าหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วห่วงโซ่คุณค่าลง 27% ภายในปี 2568 และ 67% ภายในปี 2593
คุณรี้ดกล่าวเสริมว่า "ในฐานะธุรกิจ เรามีความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วยการเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจ เราได้รับแรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องให้แก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ และเราทุกๆคนมีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลง เราริเริ่มโครงการ #PledgeForPlanet เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนลงมือทำเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวันตั้งแต่วันนี้ เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิม"
โครงการใหม่ตอกย้ำความรับผิดชอบร่วมกันของภาคธุรกิจ ภาครัฐ และประชาชนทุกคนทั่วโลก ในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วิกตอเรีย จัสติซ นักแสดงและนักร้องสาว ผู้เคยเข้าร่วมการชุมนุม Moral Action on Climate Justice และผู้สนับสนุนมูลนิธิสหประชาชาติ (UN Foundation) ได้มีส่วนช่วยเปิดตัวโครงการ #PledgeForPlanet ด้วยการปฏิญาณตนปกป้องโลกและเซ็นชื่อลงบนภาพฝาผนัง
เธอกล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค แต่การกระทำง่ายๆ สามารถสร้างผลกระทบมหาศาล ฉันจึงร่วมมือกับมาร์สปฏิญาณตนปกป้องโลก และใช้ชื่อเสียงของฉันในการกระตุ้นให้คนทั่วโลกทำเช่นเดียวกัน เราทุกคนมีบทบาทในการปกป้องโลกเพื่อคนรุ่นหลังในอนาคต"
ภาพฝาผนังดังกล่าวซึ่งสร้างสรรค์โดยศิลปินดัง สตีเวน แฮร์ริงตัน แสดงให้เห็นภาพโลกในอนาคตหากเราทุกคนช่วยกันลงมือทำอย่างเร่งด่วนเพื่อสกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภาพดังกล่าวจัดแสดงต่อสาธารณชน ณ สวนสาธารณะไบรอันท์พาร์คในมหานครนิวยอร์ก ระหว่างงาน Climate Week NYC ก่อนจะย้ายไปจัดแสดงที่ M&M's World ในย่านไทม์สแควร์
แฮร์ริงตัน ผู้เคยร่วมมือกับเจ้าของธุรกิจหลายรายรังสรรค์ผลงานศิลปะที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและลงมือแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ กล่าวว่า "เมื่อคิดถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลายคนอาจรู้สึกว่าเกินกำลังหรือหมดหนทางแก้ไข แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป หากเราทุกคนตั้งใจทำเท่าที่ทำได้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เราก็สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ ผมสร้างสรรค์ภาพฝาผนัง #PledgeForPlanet เพราะต้องการดึงดูดและกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแสดงให้เห็นว่าโลกของเรายังมีหวังหากเราทุกคนร่วมกันลงมือทำอย่างเร่งด่วน"