รายงานของ UOB, PwC, SFA เผยบริษัทฟินเทคในสิงคโปร์ดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกมากที่สุดในอาเซียน
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นฐานที่มั่นของบริษัทฟินเทคที่ต้องการขยายธุรกิจทั่วอาเซียน
จากรายงาน "FinTech in ASEAN: From Start-up to Scale-up" ที่เผยแพร่โดยธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ หรือธนาคารยูโอบี (UOB), ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) และสมาคมฟินเทคสิงคโปร์ (SFA) ระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ในสิงคโปร์ยังคงดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกมากที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 51) รายงานชิ้นนี้ยังระบุด้วยว่าสิงคโปร์เป็นฐานที่มั่นอันดับหนึ่งในภูมิภาคสำหรับบรรดาบริษัทฟินเทค โดยเป็นที่ตั้งของบริษัทฟินเทคร้อยละ 45 จากทั้งหมดในอาเซียน
รับชมข่าวในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่ https://www.prnasia.com/mnr/uob2_201911.shtml
จากการที่รัฐบาลสิงคโปร์ส่งเสริมนวัตกรรมฟินเทคในภาคส่วนต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ เงินทุนสำหรับบริษัทฟินเทคในสิงคโปร์จึงมีการกระจายอย่างทั่วถึง โดยมีนวัตกรรมการประกันภัย การชำระเงิน และการเงินส่วนบุคคลเป็นภาคส่วนที่ได้รับเงินทุนมากที่สุด รายงานระบุว่า เงินทุนที่กระจายอย่างทั่วถึงนี้ยังสะท้อนถึงภูมิทัศน์ด้านฟินเทคในสิงคโปร์ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน ที่อุตสาหกรรมฟินเทคยังคงใหม่และเน้นไปที่นวัตกรรมการชำระเงินเป็นส่วนใหญ่
คุณเจเน็ต ยัง หัวหน้าฝ่าย Group Channels and Digitalisation ของธนาคารยูโอบี กล่าวว่า "สิงคโปร์มีกฎเกณฑ์และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย ทั้งยังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน และมีอุตสาหรรมฟินเทคที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เป็นฐานที่มั่นที่น่าดึงดูดใจสำหรับบริษัทที่ต้องการคว้าโอกาสจากศักยภาพการเติบโตในอาเซียน และด้วยเหตุนี้ บริษัทจำนวนมากในสิงคโปร์จึงพัฒนาจากการระดมทุนขั้นต้นไปสู่ขั้นปลาย"
"อย่างไรก็ดี การขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคที่มีความหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในโลกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ บริษัทฟินเทคต้องแสวงหาพันธมิตรที่สามารถมอบประสบการณ์ ข้อมูลเชิงลึก และสร้างคอนเนคชัน เพื่อรับมือกับกฎเกณฑ์และภูมิทัศน์การดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศในอาเซียน"
ความแข็งแกร่งทางการเงิน การนำเสนอคุณค่า และบุคลากรมากความสามารถ คือกุญแจสู่ความสำเร็จในอาเซียน
ลูกค้าหลักของบริษัทฟินเทคคือธุรกิจต่าง ๆ (ร้อยละ 79) และในจำนวนนี้ สถาบันการเงินคิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50) ของลูกค้าหลักทั้งหมด ตามมาด้วยองค์กร (ร้อยละ 17) และ SME (ร้อยละ 12) ส่วนที่เหลือคือผู้บริโภคและบริษัทสตาร์ทอัพ (ร้อยละ 21)
เนื่องจากสถาบันการเงินและองค์กรเกือบทั้งหมดมักมีขั้นตอนการอนุมัติหลายขั้นตอน บริษัทฟินเทคจึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าการทำข้อตกลงและการได้ลูกค้ากลุ่มนี้อาจต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ดังนั้น บริษัทฟินเทคที่นำเสนอโซลูชันแบบ B2B ต้องมั่นใจว่ามีสายป่านยาวพอที่จะแบกรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน
รายงานยังพบว่า บริษัทฟินเทคในอาเซียนมีมุมมองบวกเกี่ยวกับการระดมทุนในปัจจุบันและอนาคต โดยเกือบครึ่งหนึ่งเชื่อมั่นว่าสามารถระดมทุนได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการระดมทุนรอบต่อไป
คุณหว่อง ว่านอี้ หัวหน้าฝ่ายฟินเทคของ PwC Singapore กล่าวว่า "มุมมองบวกดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาจากอนาคตที่สดใสของภูมิภาคอาเซียนและการที่อุตสาหกรรมการเงินมีอิสระมากขึ้นเพราะเทคโนโลยีธนาคารดิจิทัล นอกจากนี้ ความแพร่หลายของโทรศัพท์มือถือและศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังทำให้บริษัทฟินเทคเป็นกลไกหลักในการพัฒนาบริการทางการเงินในอาเซียน ด้วยการมอบประสบการณ์ที่ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และสะดวกสบายขึ้น อุตสาหกรรมฟินเทคมีความสามารถในการแข่งขันสูง ดังนั้น บริษัทฟินเทคก็ต้องมีเป้าหมายและนำเสนอคุณค่าให้แก่ลูกค้าอย่างชัดเจน รวมถึงขยายธุรกิจในจังหวะที่เหมาะสมและสมเหตุสมผล"
การสรรหาบุคลากรมากความสามารถยังคงเป็นเรื่องท้าทาย ขณะที่บริษัทฟินเทคร้อยละ 58 ระบุว่าปัญหาดังกล่าวเป็นอุปสรรคของการขยายธุรกิจในภูมิภาค
คุณเชีย ฮก ไหล ประธานของ SFA กล่าวว่า "บริษัทฟินเทคต้องพิจารณาว่ามีบุคลากรที่เชี่ยวชาญและมีคุณสมบัติเหมาะสมในที่ที่จะขยายธุรกิจหรือไม่ การสรรหาบุคลากรมากความสามารถต้องอาศัยเวลา บริษัทฟินเทคจึงต้องวางแผนล่วงหน้าเมื่อจะขยายธุรกิจและทีมงานในตลาดใหม่ วิธีหนึ่งที่แนะนำคือ การจ้างบุคลากรมากความสามารถล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือนก่อนขยายธุรกิจในตลาดใหม่"
สามารถดาวน์โหลดรายงาน "FinTech in ASEAN: From Start-up to Scale-up" ได้ที่ uob.com/fintech2019