มะเร็งตับ ถือเป็นอีกโรคหนึ่งที่พบบ่อยและมักจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และการดื่มแอลกอฮอล์ที่เยอะเกินไป หากรู้ตัวไวก็จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ โรคนี้จะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะแสดงอาการในระยะกลาง – ระยะสุดท้าย ทำให้อันตรายมาก โดยเราต้องคอยสังเกตความผิดปกติของร่างกายว่ามีอาการที่แสดงออกมาถึงความเสี่ยงที่จะเป็น
มะเร็งตับ หรือเปล่า อย่างเช่น ปวดท้อง , น้ำหนักลด , คลำเจอก้อนแข็งบริเวณท้องส่วนบน , ท้องมาน , ตัวเหลือง หรือตาเหลือง , เท้าบวม หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับร่างกายควรรีบไปหาหมอและตรวจร่างกายให้ละเอียด ซึ่งหากพบว่าเป็น
มะเร็งตับ จริงก็จะต้องรีบทำการรักษาให้ไวที่สุด โดยแนวทางในการรักษานั้นก็มีด้วยกันอยู่หลายวิธีดังต่อไปนี้
แนวทางในการรักษาโรค
มะเร็งตับ 1.การผ่าตัด มักทำในผู้ป่วยที่ก้อนมะเร็งยังไม่โตมาก ไม่มีภาวะตับแข็ง และการทำ
งานของตับยังดีอยู่ เป็นวิธีที่หวังผลเพื่อการหายขาด
2.การฉีดยาเคมีและสารอุดตันเข้าเส้นเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ทำเพื่อให้ก้อนมะเร็งยุบลง (Transarterial ChemoEmbolization หรือ TACE)
3.การใช้คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงทำลายก้อน โดยใช้เข็มสอดผ่านทางผิวหนัง (Radiofrequency Ablation) คลื่นเสียงนี้จะก่อให้เกิดความร้อนที่เซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
4.การฉีดยา เช่น ฉีดแอลกอฮอล์เข้าไปที่ก้อนมะเร็งผ่านทางผิวหนัง ใช้ในกรณีก้อนมะเร็งยังเล็ก และผู้ป่วยไม่สามารถผ่าตัดได้
5.การใช้ยาเคมีบำบัดแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) จะช่วยลดการเจริญเติบโตของมะเร็งได้ แต่ส่วนใหญ่จะทำเพื่อบรรเทาอาการ ไม่ใช่วิธีที่มุ่งรักษาให้หายขาด
6.การฉายแสง โดยมากใช้เพื่อบรรเทาอาการของมะเร็ง
7.การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ
8.การใช้วิธีการผสมผสาน โดยทำหลาย ๆ วิธีร่วมกัน
เพราะเราไม่รู้ว่าโรคร้ายต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ สำหรับใครที่รู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงการเป็น
มะเร็งตับ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง หรือมีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ มีไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกายก็ควรลดปัจจัยเสี่ยงด้วยการงดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพยายามอย่าเครียด เมื่อมีโอกาสก็ควรเข้ารับการตรวจเพื่อคัดกรองความเสี่ยง
มะเร็งตับ อย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ