งานประดับมุก "ศิลปะการตกแต่งที่มีความวิจิตรแวววาวจากเปลือกหอย" หนึ่งในงานช่างชั้นสูงที่มีมาแต่โบราณกาล ในอดีต งานประดับมุก ส่วนใหญ่ ทำขึ้นเพื่อเป็นเครื่องใช้สำหรับชนชั้นสูงในราชสำนัก และพระพุทธศาสนา เป็นสำคัญ ทำโดยช่างหลวง งาน "เครื่องประดับมุก" จึงถือเป็นของสูงค่า ที่กลายเป็นข้อจำกัดในเรื่องการ สืบทอด และการใช้สอย ศิลปหัตถกรรมแขนงนี้ จึงนับวันที่จะเลือนหายไปจากสังคมไทย
ครูจักรกริศษ์ สุขสวัสดิ์ ครูช่างศิลปหัตถกรรม 2555 ในประเภทงานเครื่องประดับมุก กล่าวไว้ว่า "...ครูโบราณจะใช้หุ่นที่ทำจากหวายจักสานขึ้นรูป แล้วนำหุ่นมาลงรักด้วยยางไม้ธรรมชาติ ด้วยการใช้ยางรักผสมถ่านที่ได้จากเปลือกไม้เผา แล้วผสมกับยางรัก เรียกว่า "รักสมุก" หลังจากนั้นเอามาถมลงบนลายที่ผ่านการออกแบบ ฉลุทีละชิ้นจนเต็มพื้นที่ แล้วเช็ดชักเงา ขัดมันด้วยน้ำมันพืช จึงจะได้งานประดับมุกหนึ่งชิ้น ด้วยขั้นตอนที่ยากลำบาก วัตถุดิบที่หายาก ประกอบกับการสืบทอดและการใช้สอยที่ลดน้อยลง "งานประดับมุก" จึงเป็นศิลปหัตถกรรมที่เหลือเพียงกลุ่มช่างไม่กี่ราย ที่ยังทำหน้าที่อนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญานี้ เพื่อดำรงไว้ไม่ให้สูญหายไปจากพื้นแผ่นดินไทย"
งานเขียนลายรดน้ำ "รดน้ำยาให้หลุดออกแล้วจะปรากฏลวดลายสีทองอร่ามที่งดงาม" งานประณีตศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย ในสมัยโบราณจะพบ งานเขียนลายรดน้ำ สำหรับตกแต่งสิ่งของเครื่องใช้ในราชสำนัก เครื่องใช้ในพระพุทธศาสนา ตลอดจนถึงเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ งานเขียนลายรดน้ำแบบโบราณ จะเริ่มด้วยการใช้น้ำยาหรดาล เขียนบนพื้นซึ่งทาด้วยยางรัก เขียนเสร็จแล้วจึงเช็ดรัก ปิดทองคำเปลว แล้วเอาน้ำรดน้ำยาหรดาลให้หลุดออก แล้วจะปรากฏเป็นลวดลายสีทองอร่ามที่งดงาม
ครูธานินทร์ ชื่นใจ ครูช่างศิลปหัตถกรรม 2555 ในประเภทงานเขียนลายรดน้ำและลงรักปิดทอง กล่าวว่า "…โดยปกติแล้วงานเขียนลายรดน้ำ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่ด้วยวัสดุหลักที่ใช้เป็นทองคำแท้ที่มีราคาสูง ทำให้คนไม่คิดจะทำหากไม่มีความเชี่ยวชาญจริง ปัจจุบันช่างรุ่นใหม่จะใช้สีแทนทองคำในการฝึกฝนให้เกิดความเชี่ยวชาญ จึงจะเปลี่ยนมาใช้ทองคำจริง อีกทั้งนอกจากจะต้องหมั่นฝึกฝนแล้ว ช่างรุ่นเก่าและใหม่ยังต้องหมั่นทำการดูแล มุ่งมั่นรักษา และเพิ่มความเข้าใจ ปรับตัวพัฒนางานโบราณมาสู่งานสมัยใหม่ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าความสำคัญที่จะอนุรักษ์ของเก่าๆ ต่อไปในอนาคต ไม่ให้งานเขียนลายรดน้ำเกิดการสูญหายไป"
อังกะลุง "…เขย่าให้กระบอกไปกระทบกับรางไม้เกิดเป็นโทนเสียงเฉพาะตัว" เครื่องดนตรีโบราณทำขึ้นจากไม้ไผ่ลาย เสียงของ อังกะลุง เกิดจากการเขย่าให้กระบอกไปกระทบกับรางไม้ เกิดโทนเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นับเป็นเครื่องดนตรีที่แฝงไปด้วยภูมิปัญญาและศิลปะทางดนตรี ที่ปัจจุบันแทบจะสูญหายไปจากสังคมไทย และคนรุ่นหลังก็แทบไม่รู้จักแล้ว
ครูพีรศิษย์ บัวทั่ง ครูช่างศิลปหัตถกรรม 2559 ประเภทงานอังกะลุง เล่าว่า "…ความยากของการทำอังกะลุงอยู่ที่ไม้ไผ่ซึ่งเป็นวัสดุกระบอกทรงกลม ทำให้เทียบเสียงได้ลำบาก ต่างจากผืนทุ้ม ผืนระนาด ที่มีลักษณะแบนเทียบเสียงง่ายกว่า ช่างทำอังกะลุงต้องเลื่อยเอาไม้ออก แล้วฟังเสียงภายในกระบอกที่ทั้งฟังยาก เทียบด้วยเครื่องไฟฟ้าก็ลำบาก สิ่งสำคัญคือช่างต้องเป็นนักดนตรี รู้จักเสียงดนตรี เพื่อที่จะใช้ปากเป่าฟังเสียงมาเทียบเสียงให้ตรงทั้งแบบไทยและสากล ซึ่งหากช่างไม่รู้จักดนตรีดีพอ การทำอังกะลุงก็เป็นเพียงแค่การเอาไม้ไผ่มาผ่าเฉยๆ ช่างรุ่นใหม่จึงต้องใช้ทั้งความรู้และความตั้งใจ เพื่อจะอนุรักษ์ให้คนรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นหลัง ได้รู้จักเครื่องดนตรีที่สะท้อนภูมิปัญญา โดยไม่สูญหายไปจากผืนแผ่นดินไทย"
บาตรโบราณ "…บาตรบุ ทำขึ้นด้วยมือแบบดั้งเดิมด้วยเหล็ก 8 ชิ้น" หนึ่งในอัฐบริขารที่บัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย บาตรโบราณ หรือ "บาตรบุ" เป็นบาตรที่ทำขึ้นด้วยมือแบบดั้งเดิม ประกอบด้วยเหล็ก 8 ชิ้น ปัจจุบันเหลือเพียงกลุ่มช่างที่ "ชุมชนบ้านบาตร" ที่ยังยืนหยัดสืบสานการตีบาตรแบบภูมิปัญญาโบราณนี้ไว้เพียง 3 ครอบครัว
ครูหิรัญ เสือศรีเสริม ครูช่างศิลปหัตถกรรม 2559 ในประเภทบาตรโบราณ กล่าวไว้ว่า "…งานบาตรโบราณทำมือเป็นมรดกของบรรพบุรุษที่แทบจะไม่มีผู้สืบทอดแล้ว อีกทั้งงานบาตรโบราณถือเป็นหัตถกรรมที่มีความยากในทุกขั้นตอน ไล่ตั้งแต่ ตีขอบ, ต่อบาตรขึ้นรูป, แล่นบาตร, ตีตะเข็บ, ลายบาตรให้เป็นรูปทรง, ตีเม็ดให้เรียบ, ตะไบบาตร และลงดำกระสุนเขียว ซึ่งต้องใช้ทั้งความอดทน เวลา และประสบการณ์ จึงจะสามารถทำบาตรให้สำเร็จครบตามขั้นตอนต่างๆ ได้ ปัจจุบันครูช่างที่ชุมชนบ้านบาตร ต่างพยายามส่งต่อความรู้งานทำบาตรโบราณตีมือให้คนรุ่นใหม่ เพื่อไม่ให้ภูมิปัญญาที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต้องสูญหายไปตามกาลเวลา"